การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะกับบ้าน
เราทราบกันดีว่า
เราสามารถขอใช้บริการไฟฟ้าได้จากทาง สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง
หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ (แล้วแต่เขตพื้นที่ของบ้าน)
โดยบ้านหลังนั้นจะต้องมีการขอบ้าน เลขที่และมีทะเบียนบ้านเสียก่อน เราจึงไปดำเนินการยื่นหลักฐานเพื่อ
ขอใช้บริการ เราจะต้องชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขอใช้บริการ ซึ่งค่าธรรมเนียมทั้งหลายนี้จะสูงขึ้นตามปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ขอใช้
นั่นคือยิ่งขอใช้บริการขนาดปริมาณกระแสไฟฟ้ามากก็ต้องยิ่งเสียค่า ใช้จ่ายมากนั่นเอง
(ตามตารางที่1-2) ฉะนั้นเราควรจะเลือกขนาดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้อง
เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น การขอปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้นั้น ชาว บ้านทั่วไปมักจะเรียกแทนด้วยขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าไปเลย
หรือเรียกแทน ไปว่าขอมิเตอร์ไฟฟ้าไปก็ได้ยินบ่อย เพราะหลังจากที่เราขอใช้บริการ กระแสไฟฟ้านั้น
ทางการไฟฟ้าฯจะต้องไปติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อวัด ปริมาณการใช้งานกระแสไฟฟ้าของบ้านเราและนำไปคิดค่าบริการ
รายเดือนตามปริมาณการใช้อีกที ชาวบ้านจึงเรียกการขอใช้บริการ กระแสไฟฟ้าเป็นการขอติดมิเตอร์ไฟฟ้าไปเสีย
ตารางที่
1: ค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำในพื้นที่จ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงระบบสายอากาศ(กฟน.)
ตารางที่ 2: ค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำในพื้นที่จ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงระบบสายใต้ดิน
(กฟน.)
หมายเหตุ 1. การไฟฟ้านครหลวงจะเป็นผู้กำหนดขนาด จำนวนและตำแหน่งที่จะติดตั้งเครื่องวัดฯ
ผู้ขอใช้ไฟฟ้าขอทราบรายละเอียดได้ก่อนการ ติดตั้ง 2. สถานที่ใช้ไฟฟ้าทั่วไป
ที่ขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำอยู่ห่างจากสายไฟฟ้าแรงต่ำ
หรือแรงสูงที่ต้องปักเสาและพาดสายไฟฟ้าแรงต่ำไม่เกิน 4 ต้นและระยะทางตามแนวสายไฟฟ้าไม่เกิน
140 เมตร 3. เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า 1
เฟส หมายถึง เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าที่ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ 2 สาย 4. เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า
3 เฟส หมายถึง เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าที่ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 380/220
โวลต์ 4 สาย 5. ในกรณีที่ผู้ขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำว่าจ้างการไฟฟ้านครหลวงเดินสายไฟฟ้าและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด
การไฟฟ้านครหลวงไม่คิดค่า ตรวจไฟฟ้า มิเตอร์ไฟฟ้านี้ถือเป็นสมบัติของการไฟฟ้าฯ
เมื่อเรายกเลิกการใช้บริการเราก็จะได้เงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าคืน
จากที่ผมเกริ่นไปในตอนต้น ว่าค่าใช้จ่ายแปรผันตามขนาดปริมาณไฟฟ้าที่ขอใช้นั้น
ผมจึงขอแนะนำหลักการคิดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ต้องการใช้ภายในบ้านไว้เพื่อให้เรา ขอปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า
หรือขอขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม (การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าเล็กเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องใช้
ไฟฟ้าภายในบ้านได้หลายๆ เครื่องพร้อมกัน
แต่ถ้าเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าใหญ่เกินไปก็สูญเสียเงินไปโดยใช่เหตุ) เริ่มจากการสำรวจการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของเราดูว่ามีอะไรบ้าง
ให้ลองสังเกตฉลากที่ติดไว้ที่ด้านหลัง หรือข้างใต้ของ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น
จะระบุกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานมีหน่วยเป็นวัตต์ (W) เราทำการเก็บรวบรวมกำลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด
เพื่อจะ นำมาหาปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ โดยใช้สูตรในการคำนวณคือ P = I x V (กำลังไฟฟ้า(Wวัตต์) = กระแสไฟฟ้า (Ampแอมแปร์) x ความต่างศักย์(Vโวลต์))
∴ I = P/ V เมื่อหาปริมาณกระแสไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว ให้นำค่ากระแสไฟฟ้าทั้งหมดมารวมกันและคูณด้วย
1.25 เป็น Factorเผื่อเอาไว้ ผมขอยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ
บ้านพักอาศัย โดยส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้า 1 เฟส ผมจึงขอยกตัวอย่างประกอบเป็น ไฟฟ้า 1 เฟสก็แล้วกันครับ สมมุติว่าเราทำการสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเราทั้งหมดแล้วและนำมาคำนวณแปลงจากค่ากำลังไฟฟ้า(W)
เป็นค่ากระแสไฟฟ้า ที่ใช้ (Amp) โดยใช้สูตรการคำนวณที่กล่าวไปข้างต้น
ดังนี้
จะเห็นว่าเราใช้กระแสไฟฟ้าประมาณ 44.95 แอมแปร์ ฉะนั้น ควรเลือกมิเตอร์ขนาด 30 แอมป์ก็เพียงพอเนื่องจากมิเตอร์ขนาด 30 แอมป์นั้น
เผื่อค่ากระแสไฟฟ้าไว้ถึง 100 แอมป์ หรือทั่วไปเรียกว่ามิเตอร์ขนาด
30/100 แอมป์ (ดูตาราง 1-2) สังเกตว่าเราคิดโหลดไฟฟ้า
ทั้งหมดเสมือนว่าเราเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกตัวพร้อมกัน แต่สภาพการใช้งานจริงนั้น
เราไม่ได้ ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกๆ ตัวพร้อมกัน ฉะนั้น ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า 30
แอมป์ ที่เราเลือกนั้น จึงเพียงพอ
ทั้งนี้เราอาจจะคิดเผื่อปริมาณเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการจะใช้งานเผื่อในอนาคต รวมไปด้วยก็ได้
เช่น หากครอบครัวจะมีสมาชิกเพิ่มจะมีการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มอีก 1 ชุด เป็นต้น ก็ให้คิดกระแสไฟฟ้าเผื่อในส่วนนี้ไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปขอเพิ่มปริมาณ
การใช้กระแสไฟฟ้าในอนาคต
(หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าขอเพิ่มขนาดมิเตอร์ไฟฟ้านั่นล่ะ) หลังจากอ่านบทความแล้วคุณลองไปตรวจดูขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านคุณเองหรือยัง
ว่าเหมาะสมหรือไม่?
ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านที่จะติดแอร์
การจะเลือกเครื่องปรับอากาศหรือแอร์เพื่อนำมาติดตั้งใช้งานในบ้านพักอาศัยทั่วๆไป
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้แอร์หลายท่านอาจจะไม่ทราบและถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ
ที่ควรจะนำมาพิจารณา ก็คือเรื่องของขนาดมิเตอร์วัดหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kW/Hours Meter) ที่การไฟฟ้าฯได้ติดตั้งให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละราย
เนื่องจากมิเตอร์วัดหน่วยไฟฟ้าหรือมิเตอร์ไฟฟ้า
ที่การไฟฟ้านำมาติดตั้งให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละรายมีขนาดที่แตกต่างกันไป
ทั้งนี้เพื่อรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันไปในผู้ใช้แต่ละราย
สำหรับการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้านั้นหากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากพร้อมกันในเวลาเดียว
ก็จะต้องเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใหญ่ขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขอใช้ไฟฟ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นตามขนาดที่เพิ่มขึ้นอีกด้วยดังนั้นการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าควรจะประเมินให้ใกล้เคียงกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เป็นอยู่
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป
ซึ่งความหมายของค่าพิกัดที่บอกขนาดของมิเตอร์
ยกตัวอย่างค่าพิกัดกระแสไฟฟ้า 5(15) A ที่แสดงบนมิเตอร์ไฟฟ้า
สำหรับ 5(15) ตัวเลขข้างหน้านั้นจะบอกขนาดของมิเตอร์
ซึ่งในกรณีนี้คือมิเตอร์ขนาด 5 A
และในส่วนของตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บ (15)
เป็นค่าพิกัดกระแสสูงสุดที่มิเตอร์ตัวนั้นจะสามารถรองรับได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
(ต่อเนื่องกันไม่เกิน 3 ชั่วโมง) โดยค่อพิกัดสูงสุดในกรณีนี้คือ 15 A
แต่หากยังคงมีการใช้ไฟฟ้ามากเกินกว่าพิกัดสูงสุดที่แสดงในวงเล็บ
ก็จะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่ากระแสเกินพิกัด(Over Load) ซึ่งผลที่ตามมานั้นจะทำให้การวัดของมิเตอร์เริ่มเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นเรื่อยๆ
และที่ร้ายแรงสุดคือมิเตอร์อาจจะพังเสียหายได้
การป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการใช้กระแสไฟฟ้าเกินพิกัด
สามารถทำได้โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน จำพวก ฟิวส์ หรือ เบรกเกอร์
ที่มีพิกัดกระแสสัมพันธ์กันกับขนาดพิกัดสูงสุดของมิเตอร์
ซึ่งเมื่อเกิดกรณีที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด อุปกรณ์ป้องกันที่ติดตั้งไว้
ก็จะทำการปลดวงจรไฟฟ้าอัตโนมัติ ก่อนที่มิเตอร์จะได้รับความเสียหาย
ซึ่งการเลือกขนาดอุปกรณ์ที่เหมาะสมก็ดังเช่นที่แสดงในตารางข้างล่างนี้
แต่หากพูดถึงกรณีของบ้านพักอาศัยทั่วๆไปที่ไม่ได้มีการประเมินเผื่อไว้ตั้งแต่แรก
โดยส่วนใหญ่นั้นก็มักจะมีการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า 1 เฟสขนาดเริ่มต้นมาให้แล้ว
ซึ่งเป็นมิเตอร์ขนาด 5(15) A โดยถือว่าเป็นขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เล็กสุดที่การไฟฟ้าฯมีไว้ให้สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย
และด้วยความที่ว่ามีบ้านเรือนจำนวนค่อนข้างมาก ยังคงใช้มิเตอร์ขนาด 5(15) A อยู่ในปัจจุบันนี้
ทำให้มีหลายท่านเกิดความกังวลหรือข้อสงสัยว่ามิเตอร์ขนาดนี้
จะรองรับการใช้งานของแอร์ได้หรือเปล่าเพราะหลายๆท่านก็อาจจะได้ทราบกันมาก่อนแล้ว
ว่าแอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟค่อนข้างมาก
ซึ่งถ้าเป็นแอร์รุ่นเก่าๆเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ก็คงจะเป็นดังเช่นที่หลายๆท่านได้ทราบกันมา เพราะแอร์ในยุคนั้น
ขนาดหมื่นกว่า BTU เป็นต้นไปก็กินกระแสไฟฟ้าที่ราวๆไม่ต่ำกว่า 10 A และเนื่องจากแอร์ยุคนั้นที่ใช้กันในบ้านเรา
ส่วนใหญ่ใช้คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ
ซึ่งทำให้ช่วงเริ่มสตาร์ทจะกินกระแสกระชากเพิ่มไปอีกหลายเท่า
และทำให้บ้านที่ใช้มิเตอร์ขนาดเล็กสุดอย่าง 5(15)A ดูจะรับไม่ไหว
หากต้องติดแอร์แบบนี้เพิ่มเข้าไป
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทำให้แอร์ในยุคปัจจุบันประหยัดไฟมากขึ้นเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษของมันในยุคหลายสิบปีก่อน
เริ่มที่การเข้ามาแทนที่คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ ด้วยคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่
และล่าสุดคือการนำเอาระบบการควบคุมทางไฟฟ้า
ผนวกกับระบบควบคุมและประมวลผลทำให้ได้เป็นแอร์ที่ประหยัดไฟมากขึ้นไปอีก
ในปัจจุบันแอร์ขนาดเริ่มต้น เช่น 9,000 BTU ก็กินกระแสไฟฟ้าเฉลี่ยที่ราวๆ 3-3.5
A และ12,000 BTU ก็กินกระแสไฟฟ้าเฉลี่ยที่ราวๆ 4-5
A
นี่จึงทำให้การนำแอร์ขนาด9,000- 12,000 BTU เข้ามาติดตั้งใช้งาน
ในบ้านที่ใช้มิเตอร์ขนาด 5(15)A สามารถทำได้โดยที่ยังไม่ต้องขอมิเตอร์ขนาดเพิ่มขึ้น
แต่ถึงแม้ว่ามิเตอร์ขนาดนี้จะสามารถติดตั้งแอร์และใช้งานได้ก็ตามแต่ก็ยังต้องมีข้อจำกัด
ของจำนวนแอร์ที่จะติดตั้งด้วย ซึ่งตามหลักแล้วการติดตั้งแอร์ขนาด 9,000 - 12,000 BTU เข้ากับบ้านที่ใช้มิเตอร์ 5(15) A ควรติดตั้งแอร์สูงสุดไม่เกินสองเครื่องและในการใช้งาน
ทางที่ดีนั้นไม่ควรเปิดใช้งานพร้อมกันในเวลาเดียว
แต่หากจำเป็นต้องเปิดใช้งานพร้อมกันทั้งสองเครื่องในเวลาเดียวกันต้องหลีกเลี่ยงหรืองดการใช้งานพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับให้ความร้อนเช่น เตาขดลวดไฟฟ้า,
เตาแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เตารีด เป็นต้นเพราะจะทำให้เกิดโอกาสที่กระแสไฟฟ้าจะเกินพิกัดได้
แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่จำเป็นต้องติดตั้งแอร์มากกว่าสองเครื่อง
หรือต้องการติดตั้งแอร์เพิ่มโดยที่แอร์เครื่องนั้น มีขนาดทำความเย็นตั้งแต่ 18,000 BTU ขึ้นไป ควรจะทำการขอเพิ่มขนาดมิเตอร์ให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม
เพราะถือว่าเกินขีดจำกัดที่เหมาสมของการใช้มิเตอร์ 5(15) A แล้วการขอเพิ่มขนาดมิเตอร์นั้นอาจจะขอเพิ่มเป็นขนาด15(45) A หรือ 30(100) A ซึ่งก็ขึ้นกับงบประมาณและความเหมาะสมในการใช้งานจริง
สำหรับผู้อ่านท่านใดที่กำลังอยู่ในระหว่างสร้างบ้าน
หรือระหว่างการปรับปรุงบ้านเรื่องของขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ควรจะเป็นสำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่อยู่ในเมืองหรือในแถบชานเมืองนั้นขนาดที่เหมาะสมของมิเตอร์ควรจะเริ่มที่มิเตอร์ 1 เฟสขนาด 15(45)
A เพราะขนาดมิเตอร์ที่ 5(15) A นั้นดูเหมือนจะค่อนข้างเล็กไป
เมื่อเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในยุคนี้ที่ส่วนใหญ่จะใช้แอร์กันแทบทุกบ้านแล้ว
ก็ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆเพิ่มเข้ามา และหนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่บ้านส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักมีใช้นั่นก็คือเครื่องทำน้ำอุ่น
ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่ากินไฟเยอะอยู่แล้วด้วย